ในยุคที่ความบันเทิงบนแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Netflix และ Spotify เต็มไปด้วยเนื้อหานับไม่ถ้วน หนึ่งในประเภทที่ครองใจผู้ชมและผู้ฟังอย่างต่อเนื่องคือ “True Crime” หรือสารคดีคดีฆาตกรรมจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฆาตกรรมโหด โรคจิตที่แฝงตัวในสังคม หรือการหายตัวไปอย่างลึกลับ เนื้อหาเหล่านี้กลับยิ่งสร้างยอดวิวทะลุล้านและมีฐานแฟนเหนียวแน่นทั่วโลก
หลายคนอาจสงสัยว่า “เราชอบดูอะไรที่โหดร้ายไปเพื่ออะไร?” หรือแอบถามตัวเองในใจว่า “นี่เราปกติไหมที่อินกับเรื่องฆาตกรรม?” คำตอบที่ได้จากการศึกษาทางจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ชี้ว่า ความสนใจในคดีฆาตกรรมของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นสิ่งที่ฝังรากอยู่ในโครงสร้างสมองและการเอาตัวรอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
กลไกสมอง: ความกลัว + ความอยากรู้ = ความตื่นเต้นแบบควบคุมได้
หนึ่งในเหตุผลที่คนชอบเสพเนื้อหาแนว True Crime คือการที่มันกระตุ้นระบบ “รางวัล” (Reward System) ของสมองโดยเฉพาะสาร โดพามีน (Dopamine) ซึ่งหลั่งออกมาเมื่อเรารู้สึกตื่นเต้น คาดเดาไม่ได้ หรือได้ไขปริศนาอะไรบางอย่าง
เมื่อดูหรือฟังเรื่องคดีฆาตกรรม สมองของเราจะทำงานคล้ายกับตอนดูหนังลุ้นระทึก (Thriller) โดยที่เราสามารถ “สัมผัสความกลัว” ได้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ร่างกายรู้ว่าเราไม่ได้ตกอยู่ในอันตรจจริง แต่จินตนาการกำลังสัมผัสอารมณ์ที่ลึกและจริงมาก
นอกจากนี้ สมองส่วน อะมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกลัว และ เปลือกสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งเกี่ยวกับเหตุผล จะทำงานประสานกันอย่างเข้มข้น ทำให้เราทั้ง “หวาดหวั่น” และ “อยากรู้ต่อ” ไปพร้อมกัน
ความปลอดภัยในความน่ากลัว: การควบคุมความกลัวในพื้นที่ปลอดภัย
การดู True Crime เปรียบได้กับการนั่งรถไฟเหาะ มันน่ากลัว แต่นั่นคือความกลัวที่ “ควบคุมได้” เพราะเรารู้ว่าเราจะไม่เจ็บจริง ผู้ฟังหรือผู้ชมจึงสามารถเข้าสู่โลกมืดของอาชญากรรมได้โดยไม่เสี่ยงชีวิตจริง
นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า benign masochism คือความเพลิดเพลินในสิ่งที่ปกติควรจะน่ากลัวหรือน่าขยะแขยง เช่น การกินเผ็ดจัด การดูหนังสยองขวัญ หรือการเสพข่าวฆาตกรรม
ความรู้สึกว่า “ฉันได้เรียนรู้” และ “ระวังตัวมากขึ้น”
สำหรับหลายคน โดยเฉพาะผู้หญิง การฟังคดีฆาตกรรมไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือการ “เตรียมใจ” และ “รู้ทัน” ว่าโลกใบนี้มีอันตรายแบบใดซ่อนอยู่ การได้เรียนรู้พฤติกรรมของคนร้าย การสังเกตสัญญาณอันตราย หรือแม้แต่การรู้วิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้รู้สึกว่าเรามี “เครื่องมือ” ที่จะใช้ได้หากต้องเจออะไรคล้ายกัน
มีผลสำรวจจากหลายประเทศที่พบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นผู้ฟัง True Crime Podcast มากที่สุด ซึ่งอธิบายได้จากแนวโน้มที่พวกเธอมักรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตจริง และการฟังเรื่องเหล่านี้คือการเอาความกลัวมา “คอนโทรลไว้ในมือ”
สำรวจความมืดของมนุษย์ เพื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้น
True Crime ยังทำให้เราสำรวจคำถามลึก ๆ ว่า “ทำไมคนธรรมดาคนหนึ่งถึงฆ่าคนได้?” หรือ “อะไรผลักดันให้มนุษย์ข้ามเส้นศีลธรรม?” คำถามเหล่านี้เชื่อมโยงกับความสงสัยในด้านมืดของมนุษย์ ซึ่งเราทุกคนต่างมีอยู่ในตัว ไม่มากก็น้อย
การศึกษาตัวละครผู้ร้าย ไม่ใช่เพื่อยกย่อง แต่เพื่อเข้าใจ และนั่นทำให้คนจำนวนมากรู้สึกว่า การดู True Crime คือการสะท้อนตัวเองแบบหนึ่ง เหมือนเราถามใจตัวเองไปพร้อมกับเรื่องเล่าเหล่านั้น
ไม่ได้ผิดปกติ แต่อย่าให้กลืนกินเรา
แม้การดูหรือฟังสื่อ True Crime จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมรุนแรงหรือปัญหาทางจิต แต่การเสพมากเกินไปจนเริ่มมีอาการเหล่านี้ควรได้รับการสังเกต:
• รู้สึกชาเฉยกับความรุนแรงจริง ๆ
• มีความคิดยกย่องคนร้าย
• เสพติดความรู้สึกตื่นเต้นแบบรุนแรง
• ฝันร้ายหรือเครียดโดยไม่รู้ตัว
การดู True Crime ควรเป็นกิจกรรมที่เราเลือกอย่างมีสติ รับรู้และรู้เท่าทันสิ่งที่เรากำลังดู ไม่ปล่อยให้มันกลายเป็น “พื้นที่มืด” ที่กลืนเราทั้งใจ
ความหม่นมนุษย์ในพื้นที่ปลอดภัย
การที่เราชอบดู True Crime ไม่ได้แปลว่าเรามีปัญหาทางจิต แต่มันคือกระจกสะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ ความกลัว และความซับซ้อนทางอารมณ์
เพราะบางครั้ง “การเข้าไปในความมืด” อย่างรู้ตัว ก็อาจช่วยให้เรา “มองเห็นตัวเอง” ได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม