บางวันตื่นมาแล้วไม่อยากลุก ไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่รู้สึกเหมือนร่างกายกับจิตใจมันช้าไปหมด สมองก็ดูอืดๆ งานที่เคยทำแล้วรู้สึกสนุกก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่อยากแม้แต่จะเปิดไฟล์ หงุดหงิดง่าย เบื่อทุกอย่าง กาแฟก็ช่วยได้แค่แป๊บเดียว นี่มันแค่เหนื่อยเฉยๆ หรือจริงๆ แล้วเรา “หมดไฟ” แล้วกันแน่?
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “Burnout” แล้วรู้สึกว่า เออ ก็คงเป็นอาการของคนที่ทำงานหนักเกินไปล่ะมั้ง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องของงานหนักนะ บางคนไม่ได้ทำงานเยอะเลยด้วยซ้ำ แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดัน อยู่ในความสัมพันธ์ที่ฝืน อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องฝืนยิ้ม ฝืนแอคทีฟ ฝืนมีพลัง ทั้งที่ข้างในโคตรจะว่างเปล่า
ความเหนื่อยธรรมดา เรารู้สึกได้ว่าพอพักแล้วจะดีขึ้น นอนเยอะหน่อย ออกไปเดินเล่น พูดคุยกับเพื่อน ก็มักจะสดชื่นขึ้นบ้าง แต่ถ้าเป็น Burnout ต่อให้เรานอน 10 ชั่วโมงก็ยังรู้สึกหมดแรงอยู่ดี ไม่มีแรงอยากจะลุก ไม่มีไฟจะทำอะไรต่อทั้งนั้น มันเหมือนมีอะไรบางอย่างดูดพลังชีวิตเราไปแบบไม่รู้ตัว
เราอาจจะพยายามบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ซึ่งบางครั้งมันก็จริง แต่มันก็มีหลายครั้งที่เรารอให้มันผ่านไปนานเกินไป จนสุขภาพจิตเริ่มแย่ลงไปทุกวัน คนรอบข้างอาจจะไม่ทันสังเกต เพราะเราก็ยังหัวเราะได้ ยังตอบแชท ยังโพสต์เรื่องตลกในโซเชียล แต่ในใจเหมือนมีเสียงเบาๆ บอกว่า “กูไม่ไหวแล้วนะ”
การแยกให้ออกระหว่างแค่เหนื่อยกับ Burnout มันไม่ใช่เรื่องของการวัดพลังงานที่เหลือ แต่มันคือการฟังตัวเองจริงๆ ว่าเรารู้สึกยังไงข้างใน ถ้ารู้สึกว่าอะไรก็ไม่อยากทำ ไม่อยากคุยกับใคร สมาธิหายไป ความฝันที่เคยมีเริ่มดูไกลเกินไป แล้วเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเก่งพอหรือดีพอมั้ย — นั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่ามันไม่ใช่แค่เหนื่อยธรรมดาแล้วล่ะ
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย เหมือนกูเลย” — งั้นก็อย่าเมินตัวเองอีกเลย ลองหาพื้นที่ให้ใจพักจริงๆ ไม่ใช่แค่การดูซีรีส์ 5 ตอนรวด แต่คือการปล่อยให้ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรสักพักก็ได้ มันไม่ใช่ความล้มเหลว มันคือการซ่อมเครื่องยนต์ก่อนที่มันจะพังจริงๆ ต่างหาก
บางครั้งเราต้องหยุด ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่งพอ แต่เพราะไม่มีใครจะวิ่งมารับเราตอนล้ม ถ้าเราไม่หยุดเพื่อดูแลตัวเองก่อน ก็ไม่มีใครทำแทนได้จริงๆ
เหนื่อยได้ แต่อย่าเงียบใส่ตัวเองนานเกินไป